วันที่ 28 ธันวาคม 2515 ขณะพิธีเฉลิมพระเกียรติและสถาปนาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์สยามมกุฎราชกุมาร ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว สุภาพบุรุษวัยเลยกลางคนเล็กน้อยแต่ยังดูท่าทางทะมัดทะแมงกระฉับกระเฉง ลักษณะเครื่องแต่งกายบ่งให้ทราบว่าเป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลกำลังจะก้าวลงจากบันไดหินอ่อน ก็มีชายหนุ่มผู้หนึ่งแหวกฝ่ากลุ่มชนด้วยอาการรีบร้อนตรงเข้ามากล่าวรายงานว่า
...“ท่านครับ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว โจรอาหรับสี่คนบุกสถานทูตอิสราเอล จับเจ้าหน้าที่และครอบครัวของสถานทูตไว้เป็นตัวประกัน เพื่อแลกกับเชลยอาหรับ”...
ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของสุภาพบุรุษซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก พลตรีชาติชาย ชุณหะวัณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปลี่ยนสีไปทันที เท้าเร็วเท่าความคิดท่านรัฐมนตรีก้าวฉับ ๆ หวนกลับเข้าไปภายในพระที่นั่งอนันตสมาคมอีกครั้งหนึ่ง สอดสายตาควานหาเอกอัครราชทูตอิสราเอลที่เพิ่งเช็คแฮนด์อำลากันเมื่อครู่
หลังจากแจ้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้เอกอัครราชทูตอิสราเอลทราบ พร้อมกับแนะนำไม่ให้กลับไปที่สถานทูต เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกโจรจับเป็นตัวประกันอีกคนหนึ่งแล้ว พล.ต.ชาติชาย (ยศในขณะนั้น) ก็มองหาหนทางที่จะแก้ไขปัญหา โดยเน้นไปที่สันติวิธีมากกว่าการ ใช้กำลังหรือความรุนแรง โดยได้เดินทางไปพบเอกอัครราทูตอียิปต์ที่บ้านพัก เนื่องจากในเวลานั้นอียิปต์นอกจากจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากับอิสราเอลแล้ว ยังมีอิทธิพลอย่างสูงต่อบรรดาประเทศอาหรับ พล.ต.ชาติชาย ได้หว่านล้อมให้เอกอัครราชทูตอียิปต์เห็นถึงสัมพันธไมตรีระหว่างไทยกับประเทศอาหรับ และขอให้คำนึงถึงผลเสียซึ่งจะตามมาจากการก่อการร้ายที่เกิดขึ้นในวันมหามงคลของชาวไทย ซึ่งในที่สุดเอกอัครราชทูตอียิปต์ก็ยินยอมที่จะหารือเรื่องนี้ไปยังรัฐบาลของตนที่กรุงไคโร
กลับจากบ้านพักเอกอัครราชทูอียิปต์ พล.ต.ชาติชาย ก็ตรงไปยังกองบัญชาการภาคสนามที่บริเวณใกล้สถานทูตอิสราเอล ซึ่งกำลังเตรียมการที่จะให้หน่วยแม่นปืนและคอมมานโดบุกเข้าจู่โจมช่วยตัวประกัน พล.ต.ชาติชายได้เล่าให้ที่ประชุมฟังเรื่องการพบกับเอกอัครราชทูตอียิปต์ และขอเป็นผู้เข้าไปเจรจาเกลี้ยกล่อมโจรอาหรับด้วยตนเอง ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากผู้เข้าร่วมการประชุม แต่ พล.ต.ชาติชาย ก็ยังคงยืนกรานในแนวคิดของตน จนในที่สุดที่ประชุมก็จำใจต้องยินยอม พล.ต.ชาติชาย มองไปทางกลุ่มข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ แล้วก็ออกปากชวน พล.อ.อ.ทวี จุลละทรัพย์ เสนาธิการทหาร ให้เข้าไปเจรจากับกลุ่มโจรด้วยกัน
ท่านทูตวิภาค เล่าไว้ในตอนนี้ว่า ...“เสธ.ทวี ท่านก็ใจคอเหลือหลายพอรัฐมนตรีชาติชายชวนให้ไปจับโจรท่านก็ทำยังกับว่ามีคนชวนไปดูหนัง พยักหน้าหงึกๆ รับคำเอาง่ายๆ แล้วสองรัฐมนตรีไทยก็เดินตุ้บตั้บฝ่าเข้าไปในดงโจร”...
เมื่อพวกโจรยินยอมให้คนทั้งสองเข้าไปในสถานทูตอิสราเอลได้แล้ว ท่านรัฐมนตรีชาติชาย ก็ได้ขอร้องกับพวกโจรว่า ...“วันนี้เป็นวันสำคัญยิ่งของเราวันหนึ่ง เพราะคนไทยกำลังเฉลิมฉลองการสถาปนาองค์มกุฎราชกุมาร ขอเสียเถิด ขออย่าให้มีการทำลายชีวิตอันเป็นสิ่งเศร้าหมองน่าสลดใจบังเกิดขึ้นในวาระอันเป็นมงคลเช่นนี้เลย”... แต่พวกโจรก็ไม่ยอมฟัง อย่างไรก็ตามพล.ต.ชาติชายก็ไม่ได้ละความพยายาม และได้ชวนให้พวกโจรนั่งลงร่วมโต๊ะเจรจาที่ชั้นล่างของสถานทูตอิสราเอล ซึ่งตอนนี้มีเรื่องน่าตื่นเต้นเกิดขึ้น ท่านทูตวิภาคเขียนไว้ว่า ...“ไทยและอาหรับทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะ ทันใดนั้นทุกคนต้องชะงักอ้าปากค้าง เพราะมีเสียงวัตถุหนักๆ กลิ้งหลุนๆ แหวกความเงียบสงัดลงมาจากบันไดชั้นบน เมื่อตกถึงพื้นเบื้องล่างก็สงบนิ่งอยู่ใต้โต๊ะสายตาทุกคู่ที่จ้องมองลงไปทำให้ทุกคนผงะสะดุ้งโหยงสุดตัว... เพราะสิ่งที่กลิ้งลงมาสะดุดอยู่แทบเท้านั้น ไม่ใช่อื่นไกล ระเบิดมือดี ๆ นี่เอง”...
แต่ก็นับเป็นโชคดีที่ระเบิดลูกนั้นด้าน ไม่เช่นนั้นเหตุการณ์ก็คงจะผันแปรไปในแบบอื่น หลังจากจัดการกับระเบิด (ด้าน) ลูกนั้นเรียบร้อยแล้ว การเจรจาจึงเริ่มต้นต่อ ด้วยลิ้นการทูตของ พล.ต.ชาติชาย บวกกับอารมณ์ขัน และคุยสนุก ของเสธ.ทวี ก็ทำให้พวกโจรเริ่มวางใจผู้แทนฝ่ายไทย ถึงกับพาคนทั้งสองขึ้นไปดูสภาพของตัวประกันที่ถูกคุมตัวอยู่ชั้นบนของสถานทูต แต่ในด้านของการเจรจา ฝ่ายอาหรับก็ยังคงยืนกรานที่จะให้ปล่อยตัวสมาชิกของกลุ่มแบล็ค เซปเทมเบอร์ ที่ถูกคุมขังอยู่ทั่วโลก เพื่อแลกกับตัวประกันในสถานทูตอิสราเอลที่กรุงเทพฯ ไม่ว่าฝ่ายไทยจะหว่านล้อมอย่างไรก็ตาม และบรรยากาศของการเจรจาที่อีกฝ่ายหนึ่งถืออาวุธคุมเชิงก็สร้างความกดดันเป็นอย่างมาก จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปมาก โดยต่างก็ไม่มีอาหารตกถึงท้อง เมื่อเสียงจ๊อก ๆ จากท้องอันว่างเปล่าของโจรอาหรับผู้หนึ่งทำลายความสงัดขึ้นในห้อง ท่านรัฐมนตรีมีความคิดแวบหนึ่งผ่านเข้ามาทันที กรรมวิธีชิงไหวชิงพริบท่ามกลางการเจรจานั้น ย่อมต้องใช้ทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นประโยชน์ จึงกล่าวแก่โจรแต่โดยดีว่า ...“นี่ก็ค่ำมืดมากแล้ว ยูก็หิว ไอก็หิว ท้องไส้คงแสบไปกันหมดทุกคน ทำใจดีดีไว้ ไอจะให้คนไปหาอะไรมารองท้องกันหน่อยดีกว่า”...
...“เมื่อเห็นโจรอาหรับยังอ้ำอึ้งไม่แน่ใจว่าไทยจะเล่นกลอีไม้ไหน ท่านรัฐมนตรีก็ประกาศเอาเกียรติของรัฐมนตรีไทยเป็นประกันว่า ที่ชวนกินข้าวนั้นเป็นการกินข้าวจริงๆ ไม่มีลูกไม้ซ่อนกลเอากับกลุ่มโจรแน่นอน เมื่อโจรพยักหน้าแสดงความมั่นใจในสัจจะดังนั้นแล้ว ท่านรัฐมนตรีก็ยกหูโทรศัพท์หมุนลงมายังกองบัญชาการข้างนอก ขอให้จัดอาหารขึ้นมาโดยเร็ว ยังกับเข้าไปนั่งอยู่ในหัวใจของโจรอาหรับ เมนูอาหารที่ท่านรัฐมนตรีสั่งให้นำขึ้นมานั้นก็คือ #ข้าวหมกไก่#”...
...“แต่ลำพังข้าวหมกไก่อย่างเดียวยังน้อยนัก มันจะต้องมีอะไรกลั้วคอที่แห้งเป็นผงกันบ้างพอสมควร ท่านรัฐมนตรีกำชับให้เลือกไวน์โมเซลของเยอรมันปีที่ดีที่สุด มาด้วย”... สำหรับเหตุผลที่ต้องเป็นไวน์เยอรมัน ทั้ง ๆ ที่ พล.ต.ชาติชายชอบดื่มไวน์ฝรั่งเศส ก็มาจากจิตวิทยาที่เยอรมันในอดีตเป็นศัตรูกับยิวเช่นเดียวกับอาหรับและปาเลสไตน์ในปัจจุบัน ขณะที่ฝรั่งเศสส่งเครื่องบินรบไปโจมตีอาหรับและปาเลสไตน์
เมื่ออาหารและไวน์ที่สั่งไปมาถึง พล.ต.ชาติชาย และ เสธ.ทวี ก็ลงมือรับประทาน เพื่อประกันความปลอดภัย และหลังอาหารค่ำมื้อประวัติศาสตร์ บรรยากาศก็แจ่มใสขึ้น ขณะเดียวกันการติดต่อประสานงานกับรัฐบาลอียิปต์ที่กรุงไคโรก็ได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่ง ทำให้การเจรจาระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศไทยกับกลุ่มโจรอาหรับยุติลงด้วยดี โดยโจรทั้งหมดยินยอมปล่อยตัวประกันที่ถูกคุมตัวอยู่ในสถานทูตอิสราเอล และเดินทางออกนอกประเทศไทย โดยมีเงื่อนไขให้ฝ่ายไทยจัดเครื่องบินไปส่งยังปลายทางที่ประเทศอียิปต์ รวมทั้งให้การรับรองความปลอดภัยทุกอย่าง ซึ่ง พล.ต.ชาติชาย ได้ขอเป็นผู้นำโจรอาหรับไปอียิปต์ด้วยตนเอง เพื่อให้การปฏิบัติภารกิจครั้งนี้เสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์
การเดินทางจากประเทศไทยไปยังอียิปต์ในครั้งนั้นใช้บริการของสายการบินไทยเหมาลำ ที่ให้การบริการในระหว่างการบินเช่นเดียวกับผู้โดยสารชั้นหนึ่ง แทนที่จะเป็นเครื่องบินทหาร ซึ่งสร้างไมตรีจิตที่ดีต่อโจรทั้งสี่คน รวมทั้งชาวอาหรับและปาเลสไตน์ ท่านทูตวิภาค ภิญโญยิ่ง สรุปว่า
...“มีผู้กล่าวขวัญกันทุกมุมโลกว่า เรื่องโจรอาหรับนี้ไม่ว่าเกิดขึ้นที่ใดเป็นต้องล้มตายกันเป็นเบือ แต่ทำไมเมื่อเกิดในเมืองไทย คนไทยจึงสามารถเข้าจัดการได้อย่างน่าอัศจรรย์ เลือดหยดหนึ่งก็มิได้เสีย”...
และนั่นคือเหตุการณ์ก่อการร้ายที่เกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อ 40 ปีก่อน ซึ่งหากเกิดเหตุการณ์ทำนองเดียวกันขึ้นที่เมืองไทยในวันนี้พรุ่งนี้ พูดก็พูดเถอะครับ ผมก็ยังมองไม่เห็นตัวบุคคลที่จะทำหน้าที่อย่าง พล.ต.ชาติชาย ชุณหะวัณ และ พล.อ.อ.ทวี จุลทรัพย์ ในวันนั้นเลย...
ในกรณีของเยอรมันก็เช่นเดียวกัน ในเมื่อสงครามมันก็สูญเสียทั้งสองฝ่ายก็ให้มันจบๆกันไป ทำไมต้องมาเรียกค่าปฏิกรรมสงครามกันด้วย จำนวนเงินทั้งหมดทึ่เยอรมนีต้องชดใช้คิดเป็น 269,000 ล้านมาร์ก (ทองคำบริสุทธิ์ราว 100,000 ตัน) ซึ่งคิดเป็น 785,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐตามค่าเงินในปี ค.ศ. 2011 หรือ ประมาณ 24 ล้านล้านบาท ในสมัยนี้ เป็นจำนวนเงินที่นักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากในยุคนั้นมองว่ามากเกินกว่าจะยอมรับ ได้
จากการจ่ายค่าปฏิกรรมนั้น ทำให้ธนาคารเยอรมันขาดสภาพคล่อง รัฐบาลเยอรมนีขณะนั้นจำเป็นต้องพิมพ์ ธนบัตรเข้าสู่ระบบจำนวนมากชนิดที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้ออย่าง รุนแรง
ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นเท่าตัวทุกๆ 2 วัน ร้านอาหารในเยอรมนีสมัยนั้นต้องปรับเปลี่ยนราคาอาหารกันตลอดเวลา คนขนเงินใส่รถเข็นเพื่อมาซื้อขนมปัง หรือได้เงินมาแล้วก็ต้องรีบไปซื้ออาหารเพื่อเอาเงินไปใช้ก่อนที่ค่าเงินจะลด ลงไปอีก ปริมาณอาหารลดน้อยลงจนเหลือเพียงแค่ขนมปังและมันฝรั่งเพียงเท่านั้น
เยอรมนีตอนนั้น แทบจะเรียกได้ว่าทุกภาคส่วนหยุดการผลิต ทั้งอุตสาหกรรม สิ่งทอ การค้าขายและการผลิตชะงัก ความระส่ำของผู้คนเยอรมันบ่งบอกได้เป็นอย่างดี ถึงความอดอยากทุกข์ยาก มิหนำซ้ำเมื่อเยอรมันส่งค่าปฏิกรรมสงครามไม่ครบ ทหารฝรั่งเศสก็เข้ามายึด เหมืองถ่านหินของเยอรมัน แหล่งพลังงานความร้อนของเยอรมันจึงดับสนิท ชาวเยอรมันที่ไม่พอใจฝรั่งเศส แต่ก็ได้แต่ยืนมองทหารฝรั่งเศสขนถ่านหิน เมื่อทหารเห็นว่าชาวเยอรมันไม่ทำความเคารพตนในขณะเดินผ่าน ก็เข้าไปตบตีราวกับคนเยอรมันเป็นสัตว์
ฉนวนโปแลนด์(Polish Corridor) มีชาวเยอรมนีอาศัยอยู่มาก เยอรมนีเสียดินแดนส่วนนี้ให้แก่โปแลนด์ตามสนธิสัญญาแวร์ซาย์ และฉนวนโปแลนด์ยังแบ่งแยกดินแดนเยอรมนีเป็นสองส่วน คือส่วนปรัสเซียตะวันตกและปรัสเซียตะวันออก
ความทุกข์ยาก ความอัปยศในศักดิ์ศรี ทำให้ประชาชนชาวเยอรมันไม่มีความหวังในรัฐบาลประชาธิปไตยของตนอีกต่อไป
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ได้เห็นถึงความทุกข์ยากของเยอรมัน และต้นเหตุที่สำคัญของความทุกข์ยากนี้คือค่าปฏิกรรมสงคราม ที่จะต้องยกเลิกเท่านั้น และดินแดนที่เสียไปจะต้องกลับคืนมา ในเมื่อไม่มีวี่แววว่ารัฐบาลที่เป็น อยู่จะกล้าพอที่จะยกเลิกและเรียกร้องดินแดนคืน เขาจึงพยามไต่เต้าทางการ เมือง
ในที่สุดการผ่อนชำระยุติลงเมื่ออดอล์ฟ ฮิตเลอร์ แห่งพรรคนาซี ก้าวขึ้นสู่อำนาจใน ค.ศ. 1933 เป็นเหตุให้อังกฤษและฝรั่งเศสเตรียมบดขยี้เยอรมันอีกครั้ง
สงครามโลกครั้งที่สองปะทุขึ้น เพราะเยอรมันเข้าไปกอบกู้ดินแดนของตนที่เสีย ไปคือฉนวนโปแลนด์กลับคืนมา ซึ่งมันเป็นความชอบธรรมของเยอรมัน เหมือนไทยเอาเชียงใหม่คืนจากพม่า อังกฤษกับฝรั่งเศสนั่นแหละที่เป็นผู้จุด ชนวนสงครามโดยการประกาศสงครามกับเยอรมันก่อน
จะเห็นได้ว่าเมื่อ เยอรมันรบชนะฝรั่งเศสแล้ว ก็ไม่ย่ำยีบีทาคนฝรั่งเศส ไม่ปล้น ไม่เรียกร้องค่าปฏิกรรมสงคราม เหมือนที่ฝรั่งเศสทำกับเยอรมัน และไม่เข้าไปแทรกแซงการเมืองโดยการเข้าไป ควบคุมการบริหารประเทศอย่างแข้มงวด เพียงแต่ให้กองทหารเดินสวนสนามที่ประตู ชัยฝรั่งเศส และฮิตเลอร์ก็ไปถ่ายรูปที่หอไอเฟิลพอเป็นหลักฐานยืนยันว่าชนะ ฝรั่งเศสเท่านั้น
แต่ฝรั่งเศสเสียอีกที่ไม่ทำตามสนธิสัญญาในฐานะผู้แพ้สงคราม กลับตั้งกองทหารขึ้นมาต่อสู้กับเยอรมันในภายหลัง ซึ่งถ้าเยอรมันทำลายกองทัพฝรั่งเศสเสียแต่ตอนนั้น บางทีสงครามอาจพลิกผัน
บางคนว่ามันเป็นสิทธิของฝรั่งเศสที่จะกอบกู้เอกราช อ้าว!! แล้วตอนฮิตเลอร์กอบกู้เอกราช เห็นช่วยกันรุมประณามกันทั้งโลกว่าเป็นผู้ก่อสงคราม
เมื่อฮิตเลอร์กอบกู้เอกราช เอาดินแดนที่เสียไปคืน จะเรียกว่าเป็นผู้ก่อสงครามได้อย่างไร
ผมว่าประวัติศาสตร์นี้ประเทศฝ่ายชนะสงครามเป็นคนเขียน โยนความผิดให้ฝ่ายแพ้สงคราม โดยที่ฝ่ายแพ้ไม่มีสิทธิตอบโต้อะไรได้เลย แบบเรียนทั่วโลกที่ให้นักเรียน อ่านกัน จึงถูกชี้นำให้เชื่อ แล้วฝังใจมีอคติกับฝ่ายแพ้ โดยนักเรียนไม่มีอิสระที่จะใช้ความคิดของตัวเองที่จะตัดสินว่าใครเป็นฝ่าย ถูกผิด ถ้าขืนตอบนอกแบบเรียนก็สอบตก
มันเป็นหลักพื้นฐานของการต่อสู้อยู่แล้ว ที่ใครๆก็ตัดสินได้ว่าฝ่ายไหนสมควรได้รับการยกย่อง เหมือนเราดูสุนัขตัว หนึ่งที่ยืนหยัดต่อสู้จากการรุมกัดของสุนัข 4ตัว แล้วสุนัขตัวเดียวนั้นต้องพ่ายแพ้ ถ้าเราตัดสินว่าสุนัข 4 ตัวนั้นเก่ง นั่นแสดงว่า เราถูกชี้นำ