อภินิหารข้าวหมกไก่


































วันที่ 28 ธันวาคม 2515 ขณะพิธีเฉลิมพระเกียรติและสถาปนาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์สยามมกุฎราชกุมาร ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว สุภาพบุรุษวัยเลยกลางคนเล็กน้อยแต่ยังดูท่าทางทะมัดทะแมงกระฉับกระเฉง ลักษณะเครื่องแต่งกายบ่งให้ทราบว่าเป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลกำลังจะก้าวลงจากบันไดหินอ่อน ก็มีชายหนุ่มผู้หนึ่งแหวกฝ่ากลุ่มชนด้วยอาการรีบร้อนตรงเข้ามากล่าวรายงานว่า
...“ท่านครับ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว โจรอาหรับสี่คนบุกสถานทูตอิสราเอล จับเจ้าหน้าที่และครอบครัวของสถานทูตไว้เป็นตัวประกัน เพื่อแลกกับเชลยอาหรับ”...
ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของสุภาพบุรุษซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก พลตรีชาติชาย ชุณหะวัณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เปลี่ยนสีไปทันที เท้าเร็วเท่าความคิดท่านรัฐมนตรีก้าวฉับ ๆ หวนกลับเข้าไปภายในพระที่นั่งอนันตสมาคมอีกครั้งหนึ่ง สอดสายตาควานหาเอกอัครราชทูตอิสราเอลที่เพิ่งเช็คแฮนด์อำลากันเมื่อครู่
หลังจากแจ้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้เอกอัครราชทูตอิสราเอลทราบ พร้อมกับแนะนำไม่ให้กลับไปที่สถานทูต เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกโจรจับเป็นตัวประกันอีกคนหนึ่งแล้ว พล.ต.ชาติชาย (ยศในขณะนั้น) ก็มองหาหนทางที่จะแก้ไขปัญหา โดยเน้นไปที่สันติวิธีมากกว่าการ ใช้กำลังหรือความรุนแรง โดยได้เดินทางไปพบเอกอัครราทูตอียิปต์ที่บ้านพัก เนื่องจากในเวลานั้นอียิปต์นอกจากจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากับอิสราเอลแล้ว ยังมีอิทธิพลอย่างสูงต่อบรรดาประเทศอาหรับ พล.ต.ชาติชาย ได้หว่านล้อมให้เอกอัครราชทูตอียิปต์เห็นถึงสัมพันธไมตรีระหว่างไทยกับประเทศอาหรับ และขอให้คำนึงถึงผลเสียซึ่งจะตามมาจากการก่อการร้ายที่เกิดขึ้นในวันมหามงคลของชาวไทย ซึ่งในที่สุดเอกอัครราชทูตอียิปต์ก็ยินยอมที่จะหารือเรื่องนี้ไปยังรัฐบาลของตนที่กรุงไคโร
กลับจากบ้านพักเอกอัครราชทูอียิปต์ พล.ต.ชาติชาย ก็ตรงไปยังกองบัญชาการภาคสนามที่บริเวณใกล้สถานทูตอิสราเอล ซึ่งกำลังเตรียมการที่จะให้หน่วยแม่นปืนและคอมมานโดบุกเข้าจู่โจมช่วยตัวประกัน พล.ต.ชาติชายได้เล่าให้ที่ประชุมฟังเรื่องการพบกับเอกอัครราชทูตอียิปต์ และขอเป็นผู้เข้าไปเจรจาเกลี้ยกล่อมโจรอาหรับด้วยตนเอง ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากผู้เข้าร่วมการประชุม แต่ พล.ต.ชาติชาย ก็ยังคงยืนกรานในแนวคิดของตน จนในที่สุดที่ประชุมก็จำใจต้องยินยอม พล.ต.ชาติชาย มองไปทางกลุ่มข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ แล้วก็ออกปากชวน พล.อ.อ.ทวี จุลละทรัพย์ เสนาธิการทหาร ให้เข้าไปเจรจากับกลุ่มโจรด้วยกัน
ท่านทูตวิภาค เล่าไว้ในตอนนี้ว่า ...“เสธ.ทวี ท่านก็ใจคอเหลือหลายพอรัฐมนตรีชาติชายชวนให้ไปจับโจรท่านก็ทำยังกับว่ามีคนชวนไปดูหนัง พยักหน้าหงึกๆ รับคำเอาง่ายๆ แล้วสองรัฐมนตรีไทยก็เดินตุ้บตั้บฝ่าเข้าไปในดงโจร”...
เมื่อพวกโจรยินยอมให้คนทั้งสองเข้าไปในสถานทูตอิสราเอลได้แล้ว ท่านรัฐมนตรีชาติชาย ก็ได้ขอร้องกับพวกโจรว่า ...“วันนี้เป็นวันสำคัญยิ่งของเราวันหนึ่ง เพราะคนไทยกำลังเฉลิมฉลองการสถาปนาองค์มกุฎราชกุมาร ขอเสียเถิด ขออย่าให้มีการทำลายชีวิตอันเป็นสิ่งเศร้าหมองน่าสลดใจบังเกิดขึ้นในวาระอันเป็นมงคลเช่นนี้เลย”... แต่พวกโจรก็ไม่ยอมฟัง อย่างไรก็ตามพล.ต.ชาติชายก็ไม่ได้ละความพยายาม และได้ชวนให้พวกโจรนั่งลงร่วมโต๊ะเจรจาที่ชั้นล่างของสถานทูตอิสราเอล ซึ่งตอนนี้มีเรื่องน่าตื่นเต้นเกิดขึ้น ท่านทูตวิภาคเขียนไว้ว่า ...“ไทยและอาหรับทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะ ทันใดนั้นทุกคนต้องชะงักอ้าปากค้าง เพราะมีเสียงวัตถุหนักๆ กลิ้งหลุนๆ แหวกความเงียบสงัดลงมาจากบันไดชั้นบน เมื่อตกถึงพื้นเบื้องล่างก็สงบนิ่งอยู่ใต้โต๊ะสายตาทุกคู่ที่จ้องมองลงไปทำให้ทุกคนผงะสะดุ้งโหยงสุดตัว... เพราะสิ่งที่กลิ้งลงมาสะดุดอยู่แทบเท้านั้น ไม่ใช่อื่นไกล ระเบิดมือดี ๆ นี่เอง”...
แต่ก็นับเป็นโชคดีที่ระเบิดลูกนั้นด้าน ไม่เช่นนั้นเหตุการณ์ก็คงจะผันแปรไปในแบบอื่น หลังจากจัดการกับระเบิด (ด้าน) ลูกนั้นเรียบร้อยแล้ว การเจรจาจึงเริ่มต้นต่อ ด้วยลิ้นการทูตของ พล.ต.ชาติชาย บวกกับอารมณ์ขัน และคุยสนุก ของเสธ.ทวี ก็ทำให้พวกโจรเริ่มวางใจผู้แทนฝ่ายไทย ถึงกับพาคนทั้งสองขึ้นไปดูสภาพของตัวประกันที่ถูกคุมตัวอยู่ชั้นบนของสถานทูต แต่ในด้านของการเจรจา ฝ่ายอาหรับก็ยังคงยืนกรานที่จะให้ปล่อยตัวสมาชิกของกลุ่มแบล็ค เซปเทมเบอร์ ที่ถูกคุมขังอยู่ทั่วโลก เพื่อแลกกับตัวประกันในสถานทูตอิสราเอลที่กรุงเทพฯ ไม่ว่าฝ่ายไทยจะหว่านล้อมอย่างไรก็ตาม และบรรยากาศของการเจรจาที่อีกฝ่ายหนึ่งถืออาวุธคุมเชิงก็สร้างความกดดันเป็นอย่างมาก จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไปมาก โดยต่างก็ไม่มีอาหารตกถึงท้อง เมื่อเสียงจ๊อก ๆ จากท้องอันว่างเปล่าของโจรอาหรับผู้หนึ่งทำลายความสงัดขึ้นในห้อง ท่านรัฐมนตรีมีความคิดแวบหนึ่งผ่านเข้ามาทันที กรรมวิธีชิงไหวชิงพริบท่ามกลางการเจรจานั้น ย่อมต้องใช้ทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นประโยชน์ จึงกล่าวแก่โจรแต่โดยดีว่า ...“นี่ก็ค่ำมืดมากแล้ว ยูก็หิว ไอก็หิว ท้องไส้คงแสบไปกันหมดทุกคน ทำใจดีดีไว้ ไอจะให้คนไปหาอะไรมารองท้องกันหน่อยดีกว่า”...
...“เมื่อเห็นโจรอาหรับยังอ้ำอึ้งไม่แน่ใจว่าไทยจะเล่นกลอีไม้ไหน ท่านรัฐมนตรีก็ประกาศเอาเกียรติของรัฐมนตรีไทยเป็นประกันว่า ที่ชวนกินข้าวนั้นเป็นการกินข้าวจริงๆ ไม่มีลูกไม้ซ่อนกลเอากับกลุ่มโจรแน่นอน เมื่อโจรพยักหน้าแสดงความมั่นใจในสัจจะดังนั้นแล้ว ท่านรัฐมนตรีก็ยกหูโทรศัพท์หมุนลงมายังกองบัญชาการข้างนอก ขอให้จัดอาหารขึ้นมาโดยเร็ว ยังกับเข้าไปนั่งอยู่ในหัวใจของโจรอาหรับ เมนูอาหารที่ท่านรัฐมนตรีสั่งให้นำขึ้นมานั้นก็คือ #ข้าวหมกไก่#”...
...“แต่ลำพังข้าวหมกไก่อย่างเดียวยังน้อยนัก มันจะต้องมีอะไรกลั้วคอที่แห้งเป็นผงกันบ้างพอสมควร ท่านรัฐมนตรีกำชับให้เลือกไวน์โมเซลของเยอรมันปีที่ดีที่สุด มาด้วย”... สำหรับเหตุผลที่ต้องเป็นไวน์เยอรมัน ทั้ง ๆ ที่ พล.ต.ชาติชายชอบดื่มไวน์ฝรั่งเศส ก็มาจากจิตวิทยาที่เยอรมันในอดีตเป็นศัตรูกับยิวเช่นเดียวกับอาหรับและปาเลสไตน์ในปัจจุบัน ขณะที่ฝรั่งเศสส่งเครื่องบินรบไปโจมตีอาหรับและปาเลสไตน์
เมื่ออาหารและไวน์ที่สั่งไปมาถึง พล.ต.ชาติชาย และ เสธ.ทวี ก็ลงมือรับประทาน เพื่อประกันความปลอดภัย และหลังอาหารค่ำมื้อประวัติศาสตร์ บรรยากาศก็แจ่มใสขึ้น ขณะเดียวกันการติดต่อประสานงานกับรัฐบาลอียิปต์ที่กรุงไคโรก็ได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่ง ทำให้การเจรจาระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศไทยกับกลุ่มโจรอาหรับยุติลงด้วยดี โดยโจรทั้งหมดยินยอมปล่อยตัวประกันที่ถูกคุมตัวอยู่ในสถานทูตอิสราเอล และเดินทางออกนอกประเทศไทย โดยมีเงื่อนไขให้ฝ่ายไทยจัดเครื่องบินไปส่งยังปลายทางที่ประเทศอียิปต์ รวมทั้งให้การรับรองความปลอดภัยทุกอย่าง ซึ่ง พล.ต.ชาติชาย ได้ขอเป็นผู้นำโจรอาหรับไปอียิปต์ด้วยตนเอง เพื่อให้การปฏิบัติภารกิจครั้งนี้เสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์
การเดินทางจากประเทศไทยไปยังอียิปต์ในครั้งนั้นใช้บริการของสายการบินไทยเหมาลำ ที่ให้การบริการในระหว่างการบินเช่นเดียวกับผู้โดยสารชั้นหนึ่ง แทนที่จะเป็นเครื่องบินทหาร ซึ่งสร้างไมตรีจิตที่ดีต่อโจรทั้งสี่คน รวมทั้งชาวอาหรับและปาเลสไตน์ ท่านทูตวิภาค ภิญโญยิ่ง สรุปว่า
...“มีผู้กล่าวขวัญกันทุกมุมโลกว่า เรื่องโจรอาหรับนี้ไม่ว่าเกิดขึ้นที่ใดเป็นต้องล้มตายกันเป็นเบือ แต่ทำไมเมื่อเกิดในเมืองไทย คนไทยจึงสามารถเข้าจัดการได้อย่างน่าอัศจรรย์ เลือดหยดหนึ่งก็มิได้เสีย”...
และนั่นคือเหตุการณ์ก่อการร้ายที่เกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อ 40 ปีก่อน ซึ่งหากเกิดเหตุการณ์ทำนองเดียวกันขึ้นที่เมืองไทยในวันนี้พรุ่งนี้ พูดก็พูดเถอะครับ ผมก็ยังมองไม่เห็นตัวบุคคลที่จะทำหน้าที่อย่าง พล.ต.ชาติชาย ชุณหะวัณ และ พล.อ.อ.ทวี จุลทรัพย์ ในวันนั้นเลย... 
Face to Face.
ปี 1987 ความดุเดือดของสงครามโซเวียต-อัฟกานิสถานยังคงระอุมาเป็นเวลา 8 ปี ระหว่างฝ่ายรัฐบาลอัฟกันและกองทัพโซเวียตที่เผชิญหน้ากับเหล่ากบฎมูจาฮิดีน โดยช่วงเวลาที่ผ่านมา กองทัพโซเวียตจะเป็นแนวหน้าในการตั้งรับและกวาดล้างฝ่ายมูจาฮิดีนเป็นส่วน ใหญ่ เนื่องด้วยการฝึกที่มีประสิทธิภาพกว่า และอาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีคุณภาพกว่าซึ่งถูกส่งมาจากแผ่นดินแม่ ทำให้กองทัพรัฐบาลอัฟกันต้องหาวิธีสร้างผลงานที่โดดเด่น เพื่อเป็นการประกาศศักดาให้กองทัพโซเวียตรู้ซึ้งถึงประสิทธิภาพของกองทัพ ฝ่ายรัฐบาลอัฟกัน ว่าจริงๆแล้วมันไม่ได้แย่แบบที่พวกเขาคิด...โอกาสนั้นมาถึง เมื่อกองทัพรัฐบาลอัฟกันรู้ตำแหน่งศูนย์บัญชาการของฝ่ายกบฎมูจาฮิดีนที่ตำบล อาร์กันดับ จังหวัดกันดาฮาร์ ซึ่งเป็นศูนย์ส่งกระจายข้อมูลให้กับกบฎมูจาฮิดีนทั่วภูมิภาค โดยมีกองกำลังประจำในพื้นที่ประมาณ 1000 นาย พร้อมกับผบ.คนสำคัญคือมูลาร์ นาคิบ ก็ประจำการอยู่ด้วย เหตุนี้ กองทัพรัฐบาลอัฟกันจึงเริ่มปฏิบัติการทางทหารครั้งใหญ่ที่สุดขึ้น เพื่อเผชิญหน้ากับฝ่ายมูจาฮิดีนแบบตัวต่อตัว อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน โดยส่งกองพลทหารราบที่ 14,15,17 พร้อมกับกองพลน้อยรถถังที่ 7 และกองกำลังอาสาสมัครอีกจำนวนหนึ่ง ถูกส่งตรงมาจากกรุงคาบูล รวมทั้งสิ้นประมาณ 6000 นาย เข้าปิดล้อมตำบลอาร์กันดับ โดยโซเวียตได้ให้การสนับสนุนด้วยการส่งทหารจากกองพลน้อยปืนเล็กยาวยานยนต์ ที่ 70 เข้าไปสนับสนุน แต่...อย่างที่กล่าว แผนการนี้กองทัพรัฐบาลอัฟกันเป็นผู้ดำเนินงาน ฉะนั้นหน้าที่ของพวกเขาจึงทำได้แค่สนับสนุน ปล่อยให้กองทัพอัฟกันโชว์ผลงานเอง (DRA: พี่ไม่ต้อง เดี๋ยวผมลุยเอง) การบุกเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 1987 โดยชุดแรกที่จู่โจม แน่นอน คืออากาศยานปีกหมุนติดอาวุธแบบ MI-24 ของโซเวียต...แนวตั้งรับในเชิงเขาของพวกมูจาฮิดีนเสียหายในช่วงแรก หลังจากนั้น พวกเขาจึงตอบโต้ด้วยเครื่องยิงมิสไซล์ภาคพื้นดินสู่อากาศแบบ FIM-92 จนเครื่อง MI-24 ของโซเวียตบางส่วนต้องโหม่งโลก ทางโซเวียตจึงรีบถอนกำลังทางอากาศกลับทันที เพื่อไม่ให้เกิดการเสียหายหนักมากกว่านี้ เฮลิคอปเตอร์ของโซเวียตซึ่งเป็นหัวหอกหลักของการจู่โจมถูกสั่งถอนไปแล้ว เหลือแต่เพียงทหารฝ่ายรัฐบาลอัฟกันที่พึ่งรู้ตัวเองว่ากำลังเผชิญหน้าแบบตา ต่อตากับกบฏมูจาฮิดีนผู้โชกโชนเข้าให้แล้ว การปะทะกันระหว่างทหารราบต่อทหารราบได้เกิดขึ้น สิ่งที่ทำให้ฝ่ายรัฐบาลขยาดมากที่สุดคือการโจมตีแบบโฉบฉวยของกบฏมูจาฮิดีน และแนวตั้งรับตามสันเขา ทำให้ทหารรัฐบาลอัฟกันเสียหายอย่างหนัก กำลังใจลดฮวบ พวกเขาหลายนายเริ่มปฏิเสธที่จะบุกตามคำสั่งนายทหารจนเกิดการยิงกันเองขึ้น ระหว่างนายทหารและพลทหาร จนหลายนายวิ่งหนีแตกกระเจิงไปคนละทิศละทาง แต่ถึงกระนั้น แผนการบุกก็คงดำเนินต่อไปแบบลากเลือด จนปลายเดือนมิถุนายนความพยายามยึดตำบลอาร์กันดับจึงหยุดลง และถอนกำลังทหารกลับคาบูลในที่สุด โดยทหารฝ่ายรัฐบาลอัฟกันมีผู้เสียชีวิตประมาณ 500 นาย และที่สลดใจที่สุด ทหารกว่า 1200 นายถูกทิ้งในแนวรบ ให้ถูกจับเป็นเชลย ถูกสังหาร หรือกระทั่งถูกทิ้งให้เน่าตายในทะเลทราย ขณะที่ฝ่ายกบฏมูจาฮิดีนเสียชีวิตในการรบ 60 นาย ตลอดทั้งการบุก เหตุการณ์นี้ถือเป็นการปะทะกันระหว่างกองทัพฝ่ายรัฐบาลอัฟกันและกบฏมูจาฮิดี นครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในช่วงสงครามโซเวียต-อัฟกานิสถาน และครั้งนี้ กองทัพฝ่ายรัฐบาลอัฟกันได้ประกาศศักยภาพของทหารตนเองให้โซเวียตได้รู้แล้ว

 

banzai charge in snow.

banzai charge in snow.
แผนที่แสดงการยึดเกาะอทูคืนของฝ่ายอเมริกัน

ศพทหารญี่ปุ่นหลังจากการโจมตีสิ้นสุดลง ในวันที่ 29 พฤษภาคม 1943

 

ศพทหารญี่ปุ่นซึ่งเตรียมนำไปฝังโดยฝ่ายอเมริกัน





 

พันเอกยาซูโยะ ยามาซากิ ผู้นำการการโจมใส่ฝ่ายอเมริกัน โดยเสียชีวิตขณะนำทหารโจมตี โดยศพของเขายังคงกุมดาบไว้แน่น

7 มิถุนายน 1942 หลังจาก 6 เดือนที่สหรัฐอเมริกาประกาศสงครามกับญี่ปุ่นและเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างเต็มตัว กองพันทหารราบอิสระที่ 301 แห่งกองทัพภาคเหนือของญี่ปุ่นจำนวน 2900 นาย ภายใต้การนำของพันเอกยาซูโยะ ยามาซากิ ได้ทำการยกพลขึ้นบกที่เกาะอทู หนึ่งในหมู่เกาะอะลูเชียน รัฐอลาสก้า สหรัฐอเมริกา โดยที่ไม่มีการต่อต้านแต่อย่างใด เหตุนี้ สหรัฐเริ่มกังวลว่าเกาะอทูจะกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญของฝ่ายญี่ปุ่น เนื่องจากมันสามารถแปรเปลี่ยนเป็นลานบินให้ญี่ปุ่นสามารถโจมตีชายฝั่งด้าน ตะวันตกของสหรัฐได้ การชิงเกาะอทูคืนจึงเริ่มขึ้นในวันที่ 11 พฤษภาคม 1943 ทหารราบ 15000 นาย ได้ทำการยกพลขึ้นบก และได้รับการสนับสนุนทั้งทางทะเลจากกองทัพเรือสหรัฐ และทางอากาศจากกองทัพอากาศแคนาดา โดยมีกองพลทหารราบที่ 7 เป็นหัวหอกการบุก มีการต่อต้านเพียงน้อยนิดเพราะได้รับการยิงสนับสนุนอย่างหนัก จนฝ่ายญี่ปุ่นต้องล่าถอยกลับ การสู้รบในเกาะดำเนินไป 2 สัปดาห์ ทหารทั้งสองฝ่ายมีอาการหิมะกัด และมีโรคเท้าเปื่อย ความสิ้นหวังกัดกินจิตใจของทหารญี่ปุ่น เนื่องจากไม่มีกำลังเสริม จนพันเอกยามาซากิได้รวบรวมทหารที่เหลือประมาณ 2300 นาย เพื่อเตรียมโจมตีแบบคลื่นมนุษย์หรือบันไซชาร์จใส่แนวป้องกันของสหรัฐ โดยเขาใช้แผนว่า “ปฎิบัติการโจมตีโต้กลับ” เพื่อชิงปืนใหญ่สนามของฝ่ายอเมริกันในท่าเรือ Chichagof ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเกาะ และใช้มันยิงฝ่ายอเมริกันซะเองและต้านรับจนกว่ากำลังเสริมมาถึง ทหารที่บาดเจ็บหนักจนร่วมการ “โต้กลับ” ไม่ได้ จะได้รับปืนพกหนึ่งกระบอกและกระสุนในรังเพลิง 1 นัดเพื่อปลิดชีพตัวเอง การโต้กลับของผู้การยามาซากิเริ่มในเวลา 0003 นาฬิกา ของวันที่ 29 พฤษภาคม 1943 ทหารญี่ปุ่นชุดแรกได้เข้าพบกับแนวป้องกันของกองร้อย B จากกรมทหารราบที่ 32 พวกเขาอาศัยความมืดลอบเข้าไปในค่ายทหารอเมริกันและใช้ดาบปลายปืนกระหน่ำแทง ทหารอเมริกันผู้น่าสงสารที่นอนหลับใหลในถุงนอนภายในเต็นท์ด้วยความเหน็ด เหนื่อยจากการรบ แต่ความแนบเนียนของทหารญี่ปุ่นอยู่ได้ไม่นาน ทหารอเมริกันที่รู้สึกตัวได้โต้กลับด้วยทุกอย่างที่อยู่ใกล้ตัว จนเกิดการสู้รบด้วยมือเปล่าอย่างชุลมุล เริ่มมีการระดมยิงด้วยปืนพกและระเบิดมือกันเกิดขึ้น ทหารญี่ปุ่นจึงกระโจนออกจากความมืดและตะโกนบันไซดังสนั่นและพุ่งเข้าหาทหาร อเมริกันที่อยู่ใกล้ที่สุด แนวตั้งรับของทหารอเมริกันซึ่งถูกทะลวงจากภายในแตกอย่างรวดเร็ว ทหารจากกองร้อย B วิ่งหนีไปยังแนวหลังด้วยความอลหม่าน ผ่านท่ามกลางความหนาวเหน็บที่กัดกินขั้วหัวใจ จนทหารญี่ปุ่นบุกเข้ามาถึงแนวหลัง แนวหลังของผ่ายอเมริกันต่างชุลมุล ทหารราบอเมริกันหน้าใหม่ซึ่งไม่เห็นการรบมาก่อนต่างช็อคกับการโจมตีของฝ่าย ญี่ปุ่นที่ดิบเถื่อน จนไม่นาน พวกเขาก็พบว่ากำลังเข้าสู้กับทหารญี่ปุ่นในระยะที่ใกล้ขนาดสัมผัสถึงลมหายใจ ของศัตรูได้ ทุกคนต่างสู้เพื่อเอาชีวิตรอด ทั้งอาวุธประจำกาย มีดสั้น จนไปถึงหมัดเปล่า การต่อสู้ด้วยมือเปล่าดำเนินอยู่นาน จนทหารอเมริกันตั้งแนวรับใหม่ได้ ทุกคนระดมยิงไปยังทหารญี่ปุ่นที่กระเสือกกระสนวิ่งเข้ามา ทั้งการสนับสนุนจากปืนใหญ่ แต่กระนั้น ก็ยังมีทหารญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยยังอยู่ในแนวหลังของฝ่ายอเมริกันและเข้า ชาร์จอยู่ จนทหารญี่ปุ่นส่วนใหญ่ ถูกฆ่าจากการต่อสู้ด้วยมือเปล่าจนเกือบหมด จึงเป็นการสิ้นสุดการรบอย่างบ้าคลั่งในช่วงเช้า ในอากาศที่หนาวเหน็บ หลังการรบสิ้นสุดลง มีการนับศพทหารที่เสียชีวิตซึ่งมีอยู่ทั่วบริเวณ โดยทหารอเมริกันจับเชลยศึกญี่ปุ่นได้ 29 นาย ที่เหลือเสียชีวิตหมด รวมถึงพันเอกยามาซากิ ซึ่งเสียชีวิตในช่วงท้ายของวัน โดยในมือยังกุมดาบไว้แน่น ในขณะที่ผ่ายอเมริกันจากกองพลทหารราบที่ 7 เสียชีวิตไป 549 นาย และมากกว่า 1000 นายบาดเจ็บ และในวันที่ 30 พฤษภาคม ฝ่ายอเมริกันจึงประกาศชัยชนะอย่างเป็นทางการ โดยเหตุการณ์นี้ เป็นหนึ่งในการจู่โจมพลีชีพของฝ่ายญี่ปุ่นที่ใหญ่ที่สุดในสงครามโลกครั้งที่ 2 จนกระทั่งถูกทำลายสถิติในการรบที่ไซปัน ปี 1944

วสุ คำหอมม ำไม ISIS ถึงไม่โจมตีอิสราเอล ทำไมไม่โจมตีรัสเซีย

หลังการก่อการร้ายในปารีส เห็นมีพวกโง่ๆ ที่ออกมาตั้งคำถามว่า ทำไม ISIS ถึงไม่โจมตีอิสราเอล ทำไมไม่โจมตีรัสเซีย ซึ่งคำถามพวกนี้ กบในกะลาเท่านั้นนะที่ถาม เพราะถ้าเป็นคน ที่ติดตามประวัติศาสตร์ก่อการร้ายของโลก และติดตามข่าวต่างประเทศอย่างใกล้ชิดตั้งแต่ยุคปี 70 ช่วงปลายสงครามเย็นน่าจะรู้ว่า การก่อการร้ายแบบนี้มันมีมานานแล้ว และอิสราเอล กับรัสเซียนี่แหละเป็นชาติแรกๆ ที่ได้ลิ้มรสชาติแบบนี้มาก่อน
อิสราเอลนี่นับตั้งแต่ชนะสงคราม Six Day Wars กับชาติอาหรับนี่ก็โดนก่อการร้ายมาตลอด ที่ร้ายแรงที่สุดคงทราบกันดีกว่าคือ เหตุการณ์ฆ่านักกีฬาอิสราเอลที่ถูกเป็นตัวประกัน 11 คนในงานกีฬาโอลิมปิกที่มิวนิคปี 1972 ซึ่งนับตั้งแต่เหตุการณ์นั้นทำให้มีทั่วโลกตื่นตัวเรื่องการก่อการร้ายจนมี การตั้งหน่วย SWAT ขึ้นมาทั่วโลก และเยอรมันก็ได้ให้กำเนิดหน่วยต่อต้านการก่อการร้ายที่ชือ่ว่า GSG9 รวมถึงมีการคิดค้นปืนสไนเปอร์ติดลำกล้อง PSG1 สำหรับใช้ในเมือง หรือใช้ในการต่อต้านการก่อการร้ายในหน่วย SWAT และองค์กรตำรวจทั่วโลก ที่พัฒนาต่อยอดมาจากปืน G3 ที่ตำรวจเยอรมันใช้ในตอนช่วยเหลือตัวประกันในปี 1972 แล้วปรากฎว่ายิงพลาดส่งทำให้ผู้ก่อการร้ายไหวตัวทันจนฆ่าตัวประกันเสียชีวิต ส่วนอิสราเอล ก็มีการตั้งหน่วยข่าวกรอง Mossad ขึ้นมา ซึ่งปัจจุบันถือว่าเป็นหน่วยข่าวกรอง และเป็นหน่วยงานใต้ดินที่ทำงานแซกทรึมเข้าในไปในองค์กรของผู้ก่อการร้าย เพื่อกำจัดเป้าหมายที่เป็นอันตรายต่ออิสราเอล ซึ่งยุคนั้นคงไม่มีใคร ไม่รู้จักประโยควรรคทองของ ประธานาธิบดี โกดา แมร์ ของอิสราเอล ที่ประกาศนโยบายตาต่อตาฟันต่อฟัน ถ้าคนอิสราเอลถูกฆ่า 1 คน กลุ่มผู้ก่อการร้ายจะต้องถูกฆ่า 10 คน ซึ่งขนาดมีนโยบายแบบนี้อิสราเอลก็โดนการก่อร้ายการฆ่าชาวอิสราเอลรายวัน ซึ่งภายหลังการก่อการร้ายของอิสราเอลเริ่มลดลง เป็นผลมาจากการที่หน่วย Mossad ใช้การเคลื่อนไหวแบบใต้ดินไล่ฆ่าครอบครัวของพวกมุสลิมหัวรุนแรงที่เป็นผู้ ต้องสงสัยในการวางแผนโจมตีอิสราเอลทั้งสิ้น เรียกว่ายุคนั้นไม่มีพวกโลกสวยออกมาต่อต้านมากนัก เพราะยุคสงครามเย็นที่มีการต่อสู้ระหว่างโลกเสรีประชาธิปไตย และโลกคอมมิวนิสต์ ประกอบกับคนส่วนใหญ่ยังมีความทรงจำติดตัวจากความโหดร้ายของสงครามโลกครัั้ง ที่ 2 อยู่
ส่วนรัสเซีย สมัยยังเป็นโซเวียตนี่โดนตั้งแต่การบุกเข้าไปในอัฟกันนิสถานแล้ว ทีโดนระเบิดพลีชีพฆ่าทั้งทหาร และประชาชน จนถึงยุค 1990 ที่โซเวียตล่มสลายกลายเป็นรัสเซีย กรุง Moscow ก็ตกเป็นเป้าก่อการร้ายของพวกมุสลิมหัวรุนแรงที่แบ่งแยกดินแดนมาตลอด ซึ่งเหตุการณ์ที่รัสเซียโดนมาก่อน และน่าจะร้ายแรงไม่แพ้ การก่อการร้ายในกรุงปารีส คือ การบุกยึดจับตัวประกันที่โรงละครเมือง Moscow ในปี 2002 ที่จบลงด้วยการเสียชีวิตกว่า 170 คน ทั้งตัวประกัน และผู้ก่อเหตุ ซึ่งตอนนั้นหนวย Spetsnaz รัสเซีย เลือกใช้การร่มแก๊ส ทั้งตัวประกัน และผู้ก่อการร้ายให้สลบ แล้วถึงส่งหน่วยจู่โจมเข้าไปเก็บผู้ก่อการร้าย แต่เพราะขาดการประสานงานระหว่างหน่วยที่จู่โจม กับหน่วยช่วยเหลือทำให้ ตัวประกันจำนวนหนึ่งที่ไม่ได้เสียชีวิตจากกระสุนปืนของผู้ก่อการร้าย ก็ต้องมาตายเพราะแก๊สสลบ เนื่องจากมีหลายคนที่หน่วยแพทย์ไม่สามารถช่วยเหลือให้ฟื้นคืนสติขึ้นมาได้ บางคนนอนสลบโคม่าอยู่หลายสัปดาห์ถึงเสียชีวิต แล้วในยุคที่กลุ่มกบฎมุสลิมหัวรุนแรงใน Chechens มีการจับตัวประกัน หน่วย KGB ของรัสเซียก็จะไปจับครอบครัวของพวกมุสลิมของพวกนี้มาเป็นตัวประกันเช่นกัน เพื่อต่อรอง เรียกว่าทำอะไรมา รัสเซียก็เอาคืนกลับอย่านั้น ถ้าพวกมุสลิมฆ่าตัดคอคนรัสเซีย หน่วย KGB ก็จะตามล่าญาติพี่น้องของฆาตกรคนนั้นแล้ว ฆ่าตัวคอคืนกลับเช่นกัน คำว่าโหดสัสรัสเซียมันมีมานานแล้วสมชื่อ
ดังนั้นคนที่โลกสวย ชอบมโนถึงสันติภาพทั้งหลายควรตระหนักไว้ด้วยว่าสันติภาพเกิดขึ้นได้เพราะการ มีอำนาจต่อรองอยู่เบื้องหลัง ไอ้คำพูดสวยหรู กับอุดมการณ์สวยหรู ที่ไม่มีกำลังทหาร ปืน และหน่วยข่าวกรองที่ตอบโต้การก่อการร้ายอยู่เบื้องหลังนั่น มันไม่มีทางจะแก้ไขปัญหา หรือสร้างสันติในสังคมขึ้นมาได้จริงๆ เพราะต้องยอมรับว่าในโลกนี้ธรรมชาติมันโหดร้าย ยังไงก็ต้องมีมนุษย์จำพวกหนึ่งที่่เป็นพวกนิยมเผด็จการมีความเชื่อผิดใน เรื่องชาติพันธุ ชอบทำสงคราม ชอบที่จะคลั่งศาสนา และทำอะไรที่ไม่ถูกต้องเช่นการฆ่าคนอื่น คนพวกนี้ไม่ต่างจากคนบ้า หรือคนเมาที่ถือปืน การจะไปคุยกับคนบ้า หรือคนเมาถือปืน โดยไม่มีอาวุธป้องกันตัวเลย ไอ้คนที่ไปคุยนั่้นแหละจะตายก่อนได้พูดคุย หรือเจรจา ดังนั้นผมถึงเข้าใจนะว่า ทำไมอิสราเอล และรัสเซีย ถึงโหดกับศัตรูนอกประเทศ พวกเค้าโดนอะไรมาก่อน และปัจจุบันพวกผู้ก่อการร้ายก็ไม่ค่อนจะกล้าไปมีเรื่องกับ 2 ชาตินี้ และหันมาเล่นงานชาติยุโรป หรือสหรัฐฯ แทน เพราะเป็นเป้าหมายที่ง่ายกว่า และประกอบกับมีพวกประชากรโลกสวยอาศัยอยู่เยอะ ไปยิงกราด หรือระเบิดพลีชีพฆ่าคนในประเทศนั้นเป็นร้อย ก็ต้องมีพวกที่โลกสวยไปด่ารัฐบาลตัวเองไม่ให้กล้าใช้มาตราการตอบโต้ทางการท หาร หรือใช้มาตราการตอบโต้รุนแรงแบบที่อิสราเอล และรัสเซียทำแน่ๆ
ส่วนพวกที่ดีแต่พูดถึงอดีตว่าถ้าสหรัฐไม่ก่อสงครามกับอิรัก ไม่มีการโค่นล้มซัดดัม ก็จะไม่มี ISIS ในทุกวันนี้ มันก็พูดได้ แต่ไม่สามารถการันตี ได้ว่า อนาคตที่ซัดดัมยังเป็นปธน. อิรัก จะทำให้ตะวันออกกลางสงบ หรือไม่มีกลุ่มก่อการร้ายติดอาวุธกลุ่มอื่นมาแทน ISIS การโจมตีแต่เรื่องในอดีตจนลืมไปว่า สงครามก่อการร้ายมาอยู่ที่หน้าบ้านตัวเองแล้วนี่ มันก็ไม่ต่างอะไรจากพวกโลกสวยอาศัยแต่อุดมการณ์ แต่ไร้อำนาจการต่อรอง ที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาการก่อการร้ายได้หรอก

ทำไมคอสงครามไทยถึงโปรเยอรมันกัน [คห 15]

ความคิดเห็นที่ 15
.                   ในกรณีของไทยที่ถูกพม่าตีกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2  แล้วสมเด็จพระนเรศวร หรือสมเด็จพระเจ้าตากสิน กู้อิสรภาพคืนจากพม่า พม่าจะกล่าวหาว่าไทยก่อสงครามก็ไม่ถูก เห็นว่าไทยผิดก็ไม่ถูก  ไม่มีประเทศไหนที่จะต้องยอมเป็นทาสอื่นตลอดไปหรอก
                    
                    ในกรณีของเยอรมันก็เช่นเดียวกัน ในเมื่อสงครามมันก็สูญเสียทั้งสองฝ่ายก็ให้มันจบๆกันไป ทำไมต้องมาเรียกค่าปฏิกรรมสงครามกันด้วย   จำนวนเงินทั้งหมดทึ่เยอรมนีต้องชดใช้คิดเป็น 269,000 ล้านมาร์ก (ทองคำบริสุทธิ์ราว 100,000 ตัน) ซึ่งคิดเป็น 785,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐตามค่าเงินในปี ค.ศ. 2011 หรือ ประมาณ 24 ล้านล้านบาท ในสมัยนี้   เป็นจำนวนเงินที่นักเศรษฐศาสตร์จำนวนมากในยุคนั้นมองว่ามากเกินกว่าจะยอมรับ ได้
                     จากการจ่ายค่าปฏิกรรมนั้น ทำให้ธนาคารเยอรมันขาดสภาพคล่อง  รัฐบาลเยอรมนีขณะนั้นจำเป็นต้องพิมพ์ ธนบัตรเข้าสู่ระบบจำนวนมากชนิดที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้ออย่าง รุนแรง 
                    ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นเท่าตัวทุกๆ 2 วัน ร้านอาหารในเยอรมนีสมัยนั้นต้องปรับเปลี่ยนราคาอาหารกันตลอดเวลา คนขนเงินใส่รถเข็นเพื่อมาซื้อขนมปัง หรือได้เงินมาแล้วก็ต้องรีบไปซื้ออาหารเพื่อเอาเงินไปใช้ก่อนที่ค่าเงินจะลด ลงไปอีก ปริมาณอาหารลดน้อยลงจนเหลือเพียงแค่ขนมปังและมันฝรั่งเพียงเท่านั้น  
                   เยอรมนีตอนนั้น แทบจะเรียกได้ว่าทุกภาคส่วนหยุดการผลิต ทั้งอุตสาหกรรม สิ่งทอ การค้าขายและการผลิตชะงัก  ความระส่ำของผู้คนเยอรมันบ่งบอกได้เป็นอย่างดี ถึงความอดอยากทุกข์ยาก มิหนำซ้ำเมื่อเยอรมันส่งค่าปฏิกรรมสงครามไม่ครบ  ทหารฝรั่งเศสก็เข้ามายึด เหมืองถ่านหินของเยอรมัน แหล่งพลังงานความร้อนของเยอรมันจึงดับสนิท ชาวเยอรมันที่ไม่พอใจฝรั่งเศส แต่ก็ได้แต่ยืนมองทหารฝรั่งเศสขนถ่านหิน เมื่อทหารเห็นว่าชาวเยอรมันไม่ทำความเคารพตนในขณะเดินผ่าน ก็เข้าไปตบตีราวกับคนเยอรมันเป็นสัตว์
                   ฉนวนโปแลนด์(Polish Corridor) มีชาวเยอรมนีอาศัยอยู่มาก เยอรมนีเสียดินแดนส่วนนี้ให้แก่โปแลนด์ตามสนธิสัญญาแวร์ซาย์ และฉนวนโปแลนด์ยังแบ่งแยกดินแดนเยอรมนีเป็นสองส่วน คือส่วนปรัสเซียตะวันตกและปรัสเซียตะวันออก

                   ความทุกข์ยาก ความอัปยศในศักดิ์ศรี ทำให้ประชาชนชาวเยอรมันไม่มีความหวังในรัฐบาลประชาธิปไตยของตนอีกต่อไป
                   อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ได้เห็นถึงความทุกข์ยากของเยอรมัน และต้นเหตุที่สำคัญของความทุกข์ยากนี้คือค่าปฏิกรรมสงคราม ที่จะต้องยกเลิกเท่านั้น และดินแดนที่เสียไปจะต้องกลับคืนมา  ในเมื่อไม่มีวี่แววว่ารัฐบาลที่เป็น อยู่จะกล้าพอที่จะยกเลิกและเรียกร้องดินแดนคืน    เขาจึงพยามไต่เต้าทางการ เมือง
                    ในที่สุดการผ่อนชำระยุติลงเมื่ออดอล์ฟ ฮิตเลอร์ แห่งพรรคนาซี ก้าวขึ้นสู่อำนาจใน ค.ศ. 1933   เป็นเหตุให้อังกฤษและฝรั่งเศสเตรียมบดขยี้เยอรมันอีกครั้ง
                    สงครามโลกครั้งที่สองปะทุขึ้น  เพราะเยอรมันเข้าไปกอบกู้ดินแดนของตนที่เสีย ไปคือฉนวนโปแลนด์กลับคืนมา ซึ่งมันเป็นความชอบธรรมของเยอรมัน เหมือนไทยเอาเชียงใหม่คืนจากพม่า  อังกฤษกับฝรั่งเศสนั่นแหละที่เป็นผู้จุด ชนวนสงครามโดยการประกาศสงครามกับเยอรมันก่อน             
                      จะเห็นได้ว่าเมื่อ เยอรมันรบชนะฝรั่งเศสแล้ว ก็ไม่ย่ำยีบีทาคนฝรั่งเศส ไม่ปล้น ไม่เรียกร้องค่าปฏิกรรมสงคราม เหมือนที่ฝรั่งเศสทำกับเยอรมัน    และไม่เข้าไปแทรกแซงการเมืองโดยการเข้าไป ควบคุมการบริหารประเทศอย่างแข้มงวด  เพียงแต่ให้กองทหารเดินสวนสนามที่ประตู ชัยฝรั่งเศส  และฮิตเลอร์ก็ไปถ่ายรูปที่หอไอเฟิลพอเป็นหลักฐานยืนยันว่าชนะ ฝรั่งเศสเท่านั้น
                    แต่ฝรั่งเศสเสียอีกที่ไม่ทำตามสนธิสัญญาในฐานะผู้แพ้สงคราม กลับตั้งกองทหารขึ้นมาต่อสู้กับเยอรมันในภายหลัง ซึ่งถ้าเยอรมันทำลายกองทัพฝรั่งเศสเสียแต่ตอนนั้น บางทีสงครามอาจพลิกผัน 
                    บางคนว่ามันเป็นสิทธิของฝรั่งเศสที่จะกอบกู้เอกราช   อ้าว!! แล้วตอนฮิตเลอร์กอบกู้เอกราช เห็นช่วยกันรุมประณามกันทั้งโลกว่าเป็นผู้ก่อสงคราม
                       เมื่อฮิตเลอร์กอบกู้เอกราช เอาดินแดนที่เสียไปคืน จะเรียกว่าเป็นผู้ก่อสงครามได้อย่างไร

                      ผมว่าประวัติศาสตร์นี้ประเทศฝ่ายชนะสงครามเป็นคนเขียน โยนความผิดให้ฝ่ายแพ้สงคราม โดยที่ฝ่ายแพ้ไม่มีสิทธิตอบโต้อะไรได้เลย  แบบเรียนทั่วโลกที่ให้นักเรียน อ่านกัน จึงถูกชี้นำให้เชื่อ แล้วฝังใจมีอคติกับฝ่ายแพ้ โดยนักเรียนไม่มีอิสระที่จะใช้ความคิดของตัวเองที่จะตัดสินว่าใครเป็นฝ่าย ถูกผิด  ถ้าขืนตอบนอกแบบเรียนก็สอบตก
                     มันเป็นหลักพื้นฐานของการต่อสู้อยู่แล้ว ที่ใครๆก็ตัดสินได้ว่าฝ่ายไหนสมควรได้รับการยกย่อง  เหมือนเราดูสุนัขตัว หนึ่งที่ยืนหยัดต่อสู้จากการรุมกัดของสุนัข 4ตัว แล้วสุนัขตัวเดียวนั้นต้องพ่ายแพ้   ถ้าเราตัดสินว่าสุนัข 4 ตัวนั้นเก่ง นั่นแสดงว่า เราถูกชี้นำ
28
สมาชิกหมายเลข 2223781
 

Blogger news

Blogroll

About